Search

หลักการใช้กฎหมาย (Application of law)

ก...

  • Share this:

หลักการใช้กฎหมาย (Application of law)

กฎหมายเป็นข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายในสังคม กฎหมายนั้นไม่ว่าจะมีหลักประกันในการให้ความเป็นธรรมดีเพียงใด การรับรองสิทธิเสรีภาพและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนแค่ไหน มีถ้อยคำรัดกุมสวยงามเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่มีการใช้บังคับหรือใช้อย่างไม่ถูกต้อง กฎหมายนั้นก็ไม่มีความหมายในการใช้กฎหมายแต่อย่างไร สิ่งซึ่งต้องพิจารณาถึงการใช้กฎหมาย (Application of law) เราสามารถพิจารณาได้สองกรณี คือ
1. การใช้กฎหมายในทางทฤษฎี
2. การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ
1. การใช้กฎหมายในทางทฤษฎี (Theoretical application of law)
การใช้กฎหมายในทางทฤษฎี หมายถึง การที่จะนำกฎหมายนั้น ๆ ไปใช้แก่บุคคล ในเวลา สถานที่ หรือ ตามเหตุการณ์หรือเงื่อนไข เงื่อนเวลาหนึ่งๆ การใช้กฎหมายในทางทฤษฎีนี้ สัมพันธ์กับการร่างกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ เพราะเมื่อมีการยกร่างกฎหมายลายลักษณ์อักษรขึ้น ผู้ร่างกฎหมายจะต้องถามผู้ประสงค์จะจัดให้มีกฎหมายนั้นขึ้นก่อนเสมอ ว่ากฎหมายนี้จะใช้กับใครที่ไหนเมื่อไรนั้น มีข้อจำกัดในทางทฤษฎีนั้นเองอยู่ ด้วยข้อจำกัดการใช้กฎหมายดังกล่าวนี้ เกิดจากหลักการในระบอบประชาธิปไตย หรือหลักสิทธิมนุษยชนหรือ หลักกฎหมายระหว่างประเทศ หรือหลักนิติธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้มีการยกร่างกฎหมายเพื่อใช้อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งมีรายละเอียดควรพิจารณา ดังนี้ คือ
1.1 การใช้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคล
หลักในเรื่องการใช้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคล คือ หลักที่ว่าจะใช้กับใครบ้าง
ซึ่งมีหลักอยู่ว่า กฎหมายใช้ได้กับบุคคลทั่วไป ดังนั้น กฎหมายจึงใช้บังคับกับทุกคนโดยไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ตาม และบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 (ฉบับปัจจุบัน) ก็รับรองไว้ใน “มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายภาพหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้
มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรค หรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”
อย่างไรก็ตาม หลักดังกล่าวข้างต้น มีข้อยกเว้นอยู่บ้างในกรณีที่เกิดขึ้นตามกฎหมายภายในหรือยกเว้นตามกฎหมายภายนอก ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.1.1 ข้อยกเว้นตามกฎหมายภายใน
ข้อยกเว้นตามกฎหมายภายใน ได้แก่ รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ ได้กำหนดยกเว้นไม่บังคับใช้กฎหมายแก่บุคคลบางคน ดังนี้คือ
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้ยกเว้นการบังคับใช้กับ
บุคคลดังต่อไปนี้
(1)พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ
ผู้ใดจะละเมิดมิได้และผู้ใดจะฟ้องร้องหรือกล่าวหาพระมหากษัตริย์ในทางหนึ่งทางใดมิได้
เพราะฉะนั้น จึงเกิดหลักสำคัญในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือ หลักที่ว่า “The King can do no wrong” ซึ่งหมายความว่า การกระทำของพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นความผิด ไม่มีผู้ใดสามารถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางแพ่งหรือทางอาญาได้ ไม่มีผู้ใดจะวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ในทางการเมืองได้
(2)สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ดี ในที่ประชุมวุฒิสภาก็ดี ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ดี สมาชิกผู้ใดกล่าวถ้อยคำใด ๆ ในทางแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวผู้นั้นในทางใดมิได้ เอกสิทธิ์นี้ย่อมคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี และคุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมตลอดจนผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ที่ได้รับอนุญาตจากประธานแห่งสภานั้นด้วย โดยอนุโลม
เอกสิทธิ์ดังกล่าวนี้คุ้มครองไปถึงการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการสามัญ และกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อกระทำกิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ เช่น ออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาและลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาอยู่นั้นได้ เหตุผลที่ให้เอกสิทธิ์ดังกล่าว ก็เพื่อเป็นหลักประกันคุ้มครองแก่บรรดาบุคคลเหล่านั้น ให้สามารถทำหน้าที่ได้เต็มความสามารถ ด้วยความสุจริตใจ โดยไม่ต้องเกรงกลัวว่าอาจจะได้รับผลร้ายแก่ตน
อนึ่ง รัฐมนตรี ซึ่งมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา จะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองที่จะไม่ถูกฟ้องร้องในคดีใด ๆ ในการประชุมและแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภาด้วย
2. ข้อยกเว้นตามกฎหมายอื่น ๆที่ยกเว้นไม่ใช้บังคับแก่บุคคลบางคน เช่น พระ
ราชกฤษฎีกาที่ออกตามความแห่งประมวลรัษฎากร ยกเว้นภาษีให้องค์การต่าง ๆ เช่น สถานเอกอัคราชฑูต สถานกงศุล องค์การสหประชาชาติ และองค์การผู้จัดหารายได้อันเป็นสาธารณะประโยชน์ เป็นต้น กฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน ยกเว้นการมีบัตรประจำตัวประชาชน แก่บุคคลบางประเภทเช่น พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา เป็นต้น
1.1.2 ข้อยกเว้นตามกฎหมายภายนอก
ข้อยกเว้นตามกฎหมายภายนอก ก็คือตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ มีการยกเว้น การบังคับใช้กฎหมายแก่ประมุข ของรัฐต่างประเทศ บุคคลในคณะฑูต และบริวารที่ติดตามและเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ
1.2 การใช้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับสถานที่

โดยปกติแล้วสถานที่ที่จะใช้กฎหมายต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งอำนาจของรัฐ นั่นก็คือ ดินแดนแห่งรัฐหรือราชอาณาจักร เราเรียกอำนาจนี้ว่า “อำนาจบังคับเหนือดินแดน” หมายถึง อำนาจบังคับเหนือบริเวณหรือสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้

1.อำนาจเหนือแผ่นดินและเกาะต่าง ๆ

2.อำนาจเหนือดินแดนพื้นน้ำภายในเส้นเขตแดนของรัฐ คือ บรรดาน่านน้ำ

ทั้งหมด เช่น อ่าวไทยตอนในของประเทศไทย แม่น้ำ ลำคลอง ห้วยหนอง คลอง บึง เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย

3.อำนาจเหนือพื้นน้ำทะเลอาณาเขตของรัฐชายฝั่งสำหรับของประเทศไทย ถือ
เกณฑ์ความกว้าง 12 ไมล์ทะเล นับจากจุดที่น้ำทะเลลดลงต่ำสุด แต่อีกหลายประเทศมีเกณฑ์ความกว้างของทะเลต่างไปจากนี้ และยังไม่สามารถตกลงกันได้ในเกณฑ์กลางที่จะใช้ร่วมกันทุกประเทศ
อนึ่ง ประเทศต่างๆสามารถออกกฎหมายมาบังคับใช้เหนือน่านน้ำทะเลอาณาเขต แต่มีข้อแตกต่างจากน่านน้ำภายในประเทศอยู่ประการหนึ่ง คือ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐต้องยอมให้ผู้อื่นใช้ทะเลอาณาเขตได้อย่างเสรี โดยยึดถือหลักสุจริต แต่สำหรับน่านน้ำภายในนั้น รัฐจะปิดกั้นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละประเทศ
4. อำนาจในห้วงอากาศ ได้แก่บริเวณท้องฟ้าที่ยังมีบรรยากาศเหนือดินแดนตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น กล่าวคืออยู่ในชั้นบรรยากาศที่สูงเกินกว่ารัฐจะใช้อำนาจอธิปไตยของตนตามปกติไปถึงแล้ว ต้องถือเป็นแดนเสรีที่ทุกชาติ เป็นเจ้าของหรือมีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังมีอีกสองกรณี ที่ถือเสมือนว่า รัฐมีอำนาจเหนือดินแดนเหนือสิ่งต่อไปนี้ ทั้งที่ไม่เป็นดินแดนของรัฐแต่เป็น เรื่องที่ถือเอาเพื่อใช้กฎหมายอาญาของรัฐ ขยายไปถึง ดังนี้ คือ
1)ในเรือ ไม่ว่าจะเป็นของทางราชการหรือของเอกชนไม่ว่าจะอยู่ ณ
ที่ใดในโลก
2)อากาศยาน ไม่ว่าจะเป็นของทางราชการหรือของเอกชน ซึ่งไม่ว่าจะ
อยู่ ณ ที่ใดในโลก
ข้อสังเกต อำนาจเหนือเรือและอากาศยานนี้ ที่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจ
เหนือดินแดน ก็เนื่องมาจากแนวความคิดที่ว่า เรือและอากาศยานเป็นดินแดนสมมุติ แต่ก็มีผู้คัดค้านว่าเป็นการใช้อำนาจเหนือดินแดน กล่าวคือ อาศัยเหตุที่รัฐให้สัญชาติตามการจดทะเบียนเรือหรืออากาศยานนั้น จึงทำให้รัฐได้อำนาจเหล่านั้นมา ซึ่งเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของการใช้อำนาจเหนือบุคคลมากกว่า ความเห็นของทั้งสองฝ่ายนี้ยังเป็นปัญหาที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ในความคิดของผู้เขียนนั้นเห็นด้วยกับแนวความคิดที่สองคือ อาศัยเหตุที่รัฐให้สัญชาติ ตามจดทะเบียนเรือหรืออากาศยาน
ข้อสังเกต อำนาจเหนือดินแดนหรือหลักดินแดนของประเทศไทยกฎหมายย่อมใช้บังคับเฉพาะในราชอาณาจักรไทย มีข้อยกเว้น คือ พระราชบัญญัติ อาจกำหนดให้ใช้พระราชบัญญัตินั้น บังคับแก่การกระทำหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักรได้ แต่จะต้องระบุไว้โดยเจาะจง ในขณะนี้มีกฎหมายที่ใช้บังคับแก่การกระทำและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรที่สำคัญ ๆ เพียง 2 ฉบับ คือ
1. พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดถึงเรื่องที่ว่า ถ้าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับต่างประเทศในทางใดทางหนึ่ง เช่น คู่สัญญาหรือผู้ที่จะทำการสมรสเป็นคนต่างด้าว เป็นวัตถุแห่งสัญญาอยู่ในต่างประเทศ ขณะทำสัญญาหรือนิติกรรมทำในต่างประเทศ ฯลฯ จะใช้กฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศบังคับ
2. ประมวลกฎหมายอาญา ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ให้ศาลไทย พิจารณาพิพากษาความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ 2 ลักษณะ คือ
1)เกี่ยวกับสภาพของความผิด สมควรที่ประเทศไทยจะลงโทษผู้กระทำซึ่งได้แก่ความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเงินตราตามหลักป้องกันเศรษฐกิจ ความผิดฐานชิงทรัพย์ และฐานปล้นทรัพย์ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง ตามหลักป้องกันสากล เป็นต้น
2)เกี่ยวกับผู้กระทำผิดได้แก่กรณีดังต่อไปนี้
(1)เมื่อคนไทยไปทำผิดนอกราชอาณาจักรและเข้าเงื่อนไข 3 ประการดังต่อไปนี้
ประการแรก เป็นการกระทำความผิดตามต่างๆ ได้แก่ ความผิดก่อให้เกิด
ภยันตรายต่อประชาชน,ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร,ความผิดเกี่ยวกับเพศ,ความผิดต่อชีวิต,ความผิดต่อร่างกาย,ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก,ความผิดต่อเสรีภาพ,ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์,ความผิดฐานกรรโชคทรัพย์ รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์,ความผิดฐานฉ้อโกง,ความผิดฐานยักยอก,ความผิดฐานรับของโจรและความผิดทำให้เสียทรัพย์
ประการที่สอง รัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายขอร้องให้ลงโทษ
ประการที่สาม ยังไม่ได้มีคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศอันถึงที่สุดให้ปล่อยตัวผู้นั้น หรือเป็นกรณีที่ศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษแล้ว แต่ผู้นั้นยังไม่ได้พ้นโทษ
(2)กรณีคนต่างด้าวกระทำความผิด เมื่อคนต่างด้าวกระทำผิดนอกราชอาณาจักรและรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้

ก. การกระทำเป็นความผิดตาม (1)ประการแรก ที่ได้กล่าวมา
ข้างต้น
ข. รัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้อง
ขอให้ลงโทษซึ่งแสดงว่าความผิดนั้นมีความสำคัญ
ค. ยังไม่มีคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศอันถึงที่สุดให้
ปล่อยตัวผู้นั้นหรือเป็นกรณีที่ศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษแล้ว แต่ผู้นั้นยังไม่ได้พ้นโทษ ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหาย และผู้เสียหายก็ขอให้ศาลไทยลงโทษ
(3)เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่นอกราชอาณาจักรเฉพาะบางความผิดทั้งนี้ เพราะประเทศไทยเสียหายโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆไม่มีอำนาจที่ออกกฎหมาย ใช้บังคับแก่บุคคลหรือการกระทำนอกราชอาณาจักรได้เสมอไป จะออกกฎหมายได้เท่าที่กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมีหลักที่ยอมรับให้ประเทศกระทำเช่นนั้นได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญาต่างประเทศก็มีหลักเกณฑ์ เช่นว่านี้เหมือนกัน
1.3 การใช้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับเวลา
การใช้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับเวลาในกรณีนี้ หมายถึง กำหนดวันเวลาประกาศใช้กฎหมาย กฎหมายนี้เมื่อได้ประกาศโฆษณาหรือเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปทราบแล้วมิใช่ว่าจะใช้กฎหมายนั้นได้ทันที จึงต้องดูข้อความในตัวบทกฎหมายนั้นเองว่าจะประสงค์จะให้ใช้บังคับได้เมื่อใด สำหรับกฎหมายของประเทศไทยนั้น เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ต้องดูว่ากฎหมายนั้นจะบังคับได้เมื่อใด ซึ่งปกติแล้วถ้าเป็นพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกา ข้อความดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในมาตรา 2. ของกฎหมายนั้นเช่น ในพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2535 มีข้อความว่า
“มาตรา 2. พระราชบัญญัตินี่ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป”
สำหรับหลักเกณฑ์ในการใช้บังคับกฎหมายในเรื่องนี้นั้น ในประเทศไทย อาจเริ่มมีผลทางกฎหมายหลายรูป แบ่งดังนี้ คือ
1.3.1 ให้ใช้ย้อนหลังขึ้นไปก่อนวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
การใช้กฎหมายที่มีผลย้อนหลังไปบังคับการกระทำที่เกิดขึ้น ก่อนวันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า กฎหมายย้อนหลัง ในทางปฏิบัติไม่ค่อยใช้วิธีนี้ เพราะโดยปกติกฎหมายย่อมจะบัญญัติขึ้นเพื่อใช้บังคับในอนาคต กล่าวคือ กฎหมายจะใช้บังคับแก่กรณีที่เกิดขึ้นในอนาคต นับตั้งแต่วันที่ประกาศใช้กฎหมาย เป็นต้นไป กฎหมายจะไม่บังคับแก่การกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันใช้บังคับแก่กฎหมาย ทั้งนี้เพราะมีหลักกฎหมายทั่วไปว่า “กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง” ตามหลักการถือว่าการออกกฎหมายให้มีผลบังคับย้อนหลังไม่อาจทำได้เนื่องจากไม่เป็นธรรมกับ ผู้กระทำ ซึ่งในขณะที่กระทำนั้น ยังไม่ทราบว่า การกระทำของตนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะขณะนั้น ยังไม่มีกฎหมายกำหนดว่าเป็นการกระทำความผิด ขณะนั้นผู้กระทำจึงมีสิทธิที่จะกระทำได้อยู่ การลงโทษ หรือตัดสิทธิบุคคลหนึ่งบุคคลใดสำหรับการกระทำ ซึ่งขณะที่กระทำนั้นชอบด้วยกฎหมาย เป็นการสั่นสะเทือนความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม เป็นที่เข้าใจว่าการใช้กฎหมายย้อนหลังนั้น เพราะเหตุว่าไม่เป็นธรรมแก่บุคคลผู้ถูกกฎหมายนั้นบังคับใช้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการออกกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายปกครอง กฎหมายงบประมาณ หรือแม้แต่กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณ เช่น ยกเลิกความผิดหรือยกโทษแล้วแม้จะเป็นการย้อนหลัง ก็ทำได้ไม่ขัดต่อหลักใด ๆเช่น ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 10 พฤศจิกายน 2514 กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ ย้อนหลังไปมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2514 เป็นต้น
1.3.2 กฎหมายที่มีผลใช้บังคับในวันที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กฎหมายบางฉบับมีผลใช้บังคับในวันที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อ ไม่ต้องการ
ให้มีการเตรียมตัวหาทางเลี่ยงกฎหมายเป็นกรณีกะทันหันรีบด่วน ไม่ต้องการให้รู้ล่วงหน้าเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
1.3.3 กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา
นุเบกษา
กฎหมายส่วนใหญ่มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยใช้คำว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”การใช้บังคับเช่นนี้มีผลดีคือให้ประชาชนทราบล่วงหน้าหนึ่งวัน เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจานุเบกษาเป็นต้นไป
1.3.4 กฎหมายที่กำหนดเวลาให้ใช้ในอนาคต
กฎหมายกำหนดเวลาให้ใช้ในอนาคต คือ กรณีที่กฎหมายประกาศในราชกิจานุเบกษาแล้วแต่ระบุให้เริ่มใช้เป็นเวลาในอนาคตโดยกำหนดวันใช้บังคับเป็นเวลาล่วงหน้าหลาย ๆ วัน เพื่อให้เจ้าพนักงานและประชาชนเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมายนั้น หรือเพื่อให้ทางราชการเองมีโอกาสตระเตรียมเครื่องมือ เครื่องใช้ แบบพิมพ์ ฝึกหัดอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายนั้น กำหนดเวลาให้ใช้กฎหมายในอนาคตนี้ อาจแยกได้เป็น 3 กรณี คือ
1. กฎหมายที่กำหนดเป็นวัน เดือน ปี ให้ใช้กฎหมายที่แน่นอนมาให้ เช่น
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นต้นไป
2. กฎหมายที่กำหนดให้ใช้ในอนาคตโดยไม่ระบุเป็นวันเดือนปี แต่กำหนดเป็น
ระยะเวลากี่วัน กี่เดือน หลังจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ได้ เช่น พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2543 ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
3. กฎหมายที่กำหนดให้ใช้ในอนาคตโดยไม่ระบุวัน เดือน ปี หรือ ระยะเวลาที่
แน่นอน แต่กำหนดไว้กว้าง ๆ ว่าจะให้ใช้กฎหมายบังคับเมื่อไร จะประกาศออกมาเป็นกฎหมายลำดับรอง (subordinate legislation) เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงหรือประกาศกระทรวง จะกำหนดสถานที่ และวัน ใช้บังคับให้เหมาะสมแก่สภาพท้องที่ และให้เวลาแก่เจ้าพนักงานของรัฐบาล ที่จะเตรียมการไว้ให้เรียบร้อย ก่อนที่กฎหมายจะใช้บังคับ เช่น พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 กำหนดว่าการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เป็นต้น
ข้อสังเกต กฎหมายบางฉบับให้ใช้ตามหลักที่กล่าวข้างต้น แต่บางมาตราให้ใช้ต่างเวลา
ออกไป โดยออกเป็นบทเฉพาะกาลไว้ท้ายกฎหมายนั้น เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ให้มีผลใช้บังคับได้ในวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่บางมาตรามีบทเฉพาะกาลให้งดใช้จนกว่า ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ
อนึ่ง กฎหมายนั้นได้เริ่มใช้บังคับ แล้วก็ต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะมียกเลิกกฎหมาย ซึ่งอาจจะเป็นการยกเลิกโดยตรงหรือโดยปริยาย หรือโดยองค์กรตุลาการก็ได้
2. การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ (Practical application of law)
การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ หมายถึง การนำบทกฎหมายไปใช้ปรับแก่คดีหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเจาะจงเพื่อหาคำตอบหรือเพื่อวินิจฉัยพฤติกรรมบุคคลในเหตุการณ์หนึ่ง ดังที่เราเรียกกันว่า การปรับบทกฎหมาย ผู้ใช้กฎหมายประเภทนั้น จึงมิใช่ผู้ร่างกฎหมาย หรือผู้ปฏิบัติงานทางฝ่ายนิติบัญญัติ หากแต่อาจเป็นใครก็ตามที่จะต้องเปิดดูตัวบทกฎหมาย เพื่อปรับบทกฎหมายนั้นให้เข้ากับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
2.1 ขั้นตอนการใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ
การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติมีขั้นตอนการใช้กฎหมายดังนี้ คือ
1. ตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงในคดีเกิดขึ้นจริงดังข้อกล่าวอ้างหรือไม่ ซึ่งจะต้อง
พิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานต่างๆ
2. เมื่อได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้ว จะต้องค้นหาบทกฎหมายที่ตรงกับข้อเท็จจริง
มาปรับบทกฎหมาย
3. วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงในคดีนั้นปรับได้กับข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบใน
บทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่
4.ถ้าปรับได้ ให้ชี้ว่ามีผลทางกฎหมายอย่างไร หากกฎหมายกำหนดผลทางกฎ
หมายไว้หลายอย่างให้เลือก ผู้ใช้กฎหมายจะต้องใช้ดุลพินิจเลือกผลทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
2.2 บุคลผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายในทางปฏิบัตินั้นซึ่งสามารถแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆคือ
2.2.1 กลุ่มบุคคลผู้ใช้กฎหมายที่เกิดผลทางกฎหมายโดยออ้อม
กลุ่มบุคคลผู้ใช้กฎหมายที่เกิดผลทางกฎหมายโดยออ้อม ได้แก่ ประชาชน
ทนายความ นักนิติศาสตร์ เป็นต้น
2.2.2 กลุ่มบุคคลที่ใช้กฎหมายที่เกิดผลในทางกฎหมายโดยตรง
กลุ่มบุคคลที่ใช้กฎหมายที่เกิดผลในทางกฎหมายโดยตรงได้แก่ หน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้บังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย ศาล เป็นต้น ศาลใช้กฎหมายในทางปฏิบัติอยู่ด้วยกัน 4 ศาล คือศาลรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองมีหน้าที่พิจารณาคดีที่พิพาทในทางปกครอง ศาลทหารมีหน้าที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับวินัยทหารและศาลยุติธรรมมีหน้าที่พิจารณาคดีทั้งปวงที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลดังกล่าวข้างต้นทั้งในคดีอาญาและคดีแพ่ง สมาชิกรัฐสภาเช่นสมาชิกวุฒิสภาที่มีหน้าที่ใช้กฎหมายในการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระเช่นคณะกรรมการเลือกตั้งใช้กฎหมายให้การดำเนินการเลือกตั้งทุกระดับโดยสุจริต เป็นต้น องค์กรรัฐฝ่ายบริหาร ที่ใช้กฎหมายในการดำเนินกิจกรรมทางปกครอง
อนึ่งการใช้กฎหมายในทางปฏิบัตินั้น ศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ มีความเห็นว่าการใช้กฎหมายจะต้องมีการตีความทุกกรณี
แต่อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี เกษมทรัพย์ และรองศาสตราจารย์ สมยศ เชื้อไทย ได้ให้ความเห็นว่า การใช้กฎหมายกับการตีความกฎหมายมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะอธิบายการตีความกฎหมายในบทต่อไป

หนังสือและเอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม
สมยศ เชื้อไทย “คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป เล่ม 1 ความรู้กฎหมายทั่วไป”
กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,2544
หยุด แสงอุทัย “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป”กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2538


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts